“แผลเป็น” แค่ฟังก็ทำให้เรารู้สึกว่า ต้องทิ้งรอยอะไรไว้สักอย่างกับร่างกาย แต่ถ้าเราไม่อยากให้ทิ้งรอยไว้ละ เรามีวิธีหลีกเลี่ยงหรือป้องกันหรือเปล่า ? ถึงแม้การทำศัลยกรรมในยุคนี้จะมองเป็นเรื่องปกติ แต่ว่าหลายคนก็เลือกที่จะมีสุขภาพดี ด้วยการออกกำลังกายเอง
แต่ในบางเคสก็ลดน้ำหนักไม่ไหว อาจจะเกิดจากสรีระไม่เอื้อต่อการออกกำลังกาย สัดส่วนไม่ลดลงรวดเร็วดั่งใจคิด แถมอาหารในยุคนี้ก็แสนอร่อย ทำให้อดใจไม่ไหว เราเลยต้องมีตัวช่วยนั่นก็คือ การดูดไขมัน แต่ว่าบางคนก็อยากหุ่นดี แล้วก็ไม่ทิ้งรอยไว้ด้วย มันเป็นไปได้ไหม? แล้วต้องทำยังไง ? หมอเลยจะมาให้ความรู้ความเข้าใจกันเกี่ยวกับแผลเป็น หรือคีลอยด์
ชมคลิป เทคนิคในการลดแผลเป็น หลังดูดไขมัน
พูดคุยกับหมอหลิว ตอบเองทุกเคส
แผลเป็น หลักๆจะมี 3แบบคือ
1. แผลเป็นแบบนูน
1.1 แผลเป็นนูนเกิน (Hypertrophic scar) แผลเป็นลักษณะนี้จะโตนูน แต่ไม่เกินขอบเขตของแผลเดิม ระยะแรกจะนูน แดง และคัน
1.2 แผลเป็นคีลอยด์ เป็นแผลเป็นที่โตนูน ขยายใหญ่เกินขอบเขตของแผลเดิมไปมาก
2. แผลที่ลึก (Depressed scar) มีลักษณะเป็นร่อง หรือรูบุ๋มลึกลงไปใต้ผิวหนัง
3. แผลเป็น ที่มีการหดรั้งร่วมด้วย (Scar contracture) แผลเป็นชนิดนี้จะดึงรั้งอวัยวะบริเวณแผลให้ผิดรูปได้
พูดให้เข้าใจง่ายๆ แผลเป็นเกิดขึ้นได้อย่างไร ?
ถ้าอธิบายให้เห็นภาพง่ายๆคือ การซ่อมแซมของร่างกาย ส่วนไหนในร่างกายเกิดแผลก็จะไปซ่อมแซม แต่ว่าร่างกายไม่สามารถบอกได้ว่าควรหยุดซ่อมแล้ว ทำให้เกิดเป็นแผลนูน หรือเป็นคีลอยด์ขึ้นมา
แล้วเรามีวิธีสังเกตว่าตัวเราเป็นแผลเป็นง่าย หรือยากได้หรือไม่? เพื่อเตรียมพร้อมได้ดียิ่งขึ้น
วิธีดูเบื้องต้นว่าเราเป็นแผลเป็นง่ายหรือยาก สังเกตจากการปลูกฝีบริเวณหัวไหล่ตั้งแต่สมัยเราเป็นเด็ก ถ้าบริเวณที่ปลูกฝีเรานูนไม่เรียบ แสดงว่าเราเป็นแผลเป็นง่าย
ส่วนคนที่เรียบไม่มีรอยนูน ก็มีโอกาสที่ไม่เกิดแผลเป็น แต่ว่าการเกิดแผลเป็นก็สามารถเกิดได้ เมื่อร่างกายเราเป็นแผล ดังนั้นเรามาป้องกันไว้ดีกว่าแก้เพราะว่าถ้าเกิดแล้ว การรักษาก็อาจจะยุ่งยากหลายขั้นตอนมากกว่า
วิธีการป้องกัน แผลเป็น มีดังนี้
1. งดทานอาหารประเภทโปรตีน อาทิ เนื้อสัตว์สีแดง สัตว์ปีกทุกชนิด ไข่ขาว น้ำเต้าหู้ ถั่วต่างๆ เป็นต้น
2. ทายาลบรอยแผลเป็น ป้องกันตั้งแต่เป็นแผล โดยยาลบรอยแผลเป็นบางประเภท สามารถทาหลังทำความสะอาดแผลได้เลย ขณะเป็นแผลสด เช่น Stratamed ตัวสีฟ้า แต่บางยี่ห้อ อาจต้องรอแผลปิดสนิท แล้วก็ค่อยเริ่มทา เช่น Hiruscar Dermatrix เป็นต้น
3. ทำความสะอาดแผลให้สะอาด เพราะว่าถ้าเราทำแผลไม่สะอาด จะทำให้ตัวแผลไม่สวยได้
4. ตัดไหมให้ตรงเวลา เพราะว่าการที่ปล่อยไหมทิ้งไว้นานไป จะเริ่มจมฝังเนื้อ ทำให้มีแผลนูนมาหุ้มตัวไหมได้ ดังนั้นให้ตัดไหมตรงตามเวลา ปกติร่างกายเราจะสมานซ่อมแซมแผลได้เองใน 5-7วัน แต่ถ้าคนที่ภูมิคุ้มกันบกพร่อง เป็นเบาหวานก็อาจจะนานกว่านั้น
5. ใช้แผ่นซิลิโคนแปะแผล จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แผล และก็ลดแผลอักเสบได้ ทำให้แผลสมานได้ดี ลดการเกิดแผลเป็น จะปิดไว้หลังจากเกิดแผลใหม่ๆ โดยจะปิดแผลไว้หลังจาก 7วัน โดยจะติด 24ชั่วโมง ระยะเวลานาน 3เดือน
6. ลดการสัมผัสบริเวณที่เป็นแผล เนื่องจากอาจทำให้แผลเกิดรอยดำได้ โดยสามารถทาครีมเพิ่มความชุ่มชื้นผิว เพื่อลดการเกิดรอยดำได้
กรณีเป็นแผลเป็นไปแล้ว วิธีการรักษาแผลเป็นคือ
บางเคสเป็นแผลนูน หรือเริ่มนูน อาจใช้แผ่นซิลิโคนปิดยังพอช่วยได้บ้าง
ฉีดยาลดรอยแผลเป็น เหมาะสำหรับแผลเป็น ประเภทแผลนูน และแผลคีลอยด์ การฉีดยา ถ้าเป็นแผลขนาดใหญ่ อาจต้องมีการฉีดซ้ำ และก็สามารถกลับมานูนใหม่ได้หลังจากฉีด ดังนั้นหลังฉีดเราก็อาจต้องคุมอาหารประเภทโปรตีนด้วย
ผ่าตัดแผลเป็นออก ซึ่งก็มีเทคนิคการตัดมากมาย อาทิ การกรอผิวหนัง การผ่าตัดทีละเล็กของแผลเป็น แต่ก็มีโอกาสเกิดแผลเป็นได้ใหม่ จากการที่เราเย็บแผล ดังนั้นก็ต้องดูแลแผลดีๆ หลังการตัดคีลอยด์หรือแผลนูนออก
การทำเลเซอร์ลดแผลเป็น จะช่วยให้สีผิวจางลง บางเคสมีแผลที่มีรอยคล้ำ ดำ การเลเซอร์ก็สามารถปรับสีผิวได้ รวมถึงเราสามารถใช้เลเซอร์ตัดตัวคีลอยด์และแผลเป็น ทำให้ผิวเรียบ
ทายาลดรอยแผลเป็น อาทิ Stratamed ตัวสีส้ม สามารถทาแผลที่นูน หรือเป็นแผลเป็นแล้วได้ แต่วิธีนี้ก็อาจเห็นผลได้น้อยถ้ากรณีที่เป็นนานมากหลายปี
การใช้ตัวเข็ม ค่อยๆคลายการรั้งของแผลเป็น เหมาะในการรักษาแผลเป็นที่มีการหดรั้งร่วมด้วย หรือที่เรียกว่า Scar contracture
การฉีดฟิลเลอร์ หรือไขมัน ในเคสที่เป็นแผลเป็นแบบบุ๋ม แผลที่ลึก หรือที่เรียกว่า depressed scar ให้ดูตื้นขึ้น และเรียบเนียน
สมุนไพรที่มีส่วนช่วยลดรอยแผลเป็น เพิ่มความชุ่มชื้นผิวได้ดี
มะนาว สามารถเอามาทาบริเวณที่เป็นแผล ทิ้งไว้ 30นาที แล้วล้างออกช่วยให้ชุ่มชื้นผิว และแผลจาง
น้ำผื้ง นวดเบาๆ ประมาณ 10นาที แล้วทิ้งไว้ 30นาที จะช่วยให้แผลจางและลดแผลเป็น
ว่านหางจระเข้ จะช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ลดอาการระคางเคืองของผิวหนัง
หอมหัวใหญ่ ส่วนใหญ่นำมาสกัดเป็นยารักษาแผลเป็น เพราะว่ามีส่วนช่วยเรื่องสร้างเนื้อเยื่อ ลดการอักเสบ และทำให้แผลจางลง
ใบบัวบก ถือว่าขาดไม่ได้เลย เพราะสามารถเอาตัวใบบัวบกมาตำ และก็คั้นเอาน้ำมาทาบริเวณแผลทำให้แผลเรียบเนียน และจางลง
สิ่งสำคัญที่หมอฝากไว้! การทายาลดรอยแผลเป็น ห้ามโปะแผลเด็ดขาด ให้ทายาบางๆก็พอ เหมือนเราทาครีม โดยเราจะทำความสะอาดน้ำเกลือ ตามด้วยเบตาดีน และถ้าเป็นตัว Stratamed สีฟ้า สามารถทาต่อจากเบตาดีนได้เลย ย้ำ! ห้ามโปะเด็ดขาด แต่ถ้าเป็นยาลดรอยแผลเป็นยี่ห้ออื่น ก็อาจรอแผลปิดสนิทดีก่อน ก็ค่อยทาบางๆที่แผลเช่นกัน
เพราะว่าการโปะ จะทำให้แผลแฉะชุ่ม และเกิดการสมานแผลได้ไม่ดี ทำให้แผลไม่สวยและเกิดแผลนูนได้ หากสงสัยสอบถามเพิ่มเติม สามารถทักไลน์ปรึกษาหมอหลิว ได้นะคะ (เสร็จเคสแล้วรีบตอบแน่นอน)